มีเหตุผลมากมายที่ประเทศญี่ปุ่นควรเป็นหนึ่งในประเทศลำดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวควรไปเยือน เหตุผลข้อแรกคือ ที่แห่งนี้มีวัดสวยๆ มากมาย ข้อสอง ท้องของทุกคนจะไม่ว่างเลยเพราะมีของอร่อยๆ เต็มไปหมด และสาม นักท่องเที่ยวเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ง่ายมาก
ด้วยระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพของญี่ปุ่น การเดินทางจากฝั่งหนึ่งของกรุงโตเกียวไปยังเกาะชิโกกุซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศนั้นง่าย ไวเพียงชั่วอึดใจ ยิ่งมีบัตรโดยสารรถไฟ All Shikoku Rail Pass ยิ่งช่วยให้คุณเดินทางโดยรถไฟไปทั่วชิโกกุได้อย่างเพลินๆ แบบไม่จำกัด เพียงเลือกว่าจะใช้บัตรโดยสารแบบ 3 วัน, 4 วัน, 5 วัน หรือ 7 วัน จากนั้นก็เริ่มต้นการเดินทางได้เลย
ช่วงนี้เป็นช่วงที่เหมาะอย่างยิ่งกับการไปเยือนสถานที่อื่นๆ นอกเหนือจากโตเกียว เกียวโต และโอซากา ซึ่งเราแนะนำให้ปักหมุดสถานที่เที่ยวใหม่ๆ ในญี่ปุ่น ด้วยการท่องเที่ยวในเกาะชิโกกุซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเกาะฮนชู สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักแห่งนี้มีทุกอย่างที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นภูเขาตั้งตระหง่าน ลำธารใสเย็น ทิวทัศน์ของดอกซากุระบานสะพรั่ง สีสันน่ารัก และอูด้งรสเลิศ
หากเป็นการไปเยือนเกาะเป็นครั้งแรก ขอแนะนำให้ลองเริ่มจาก 9 กิจกรรมที่น่าสนใจด้านล่างนี้
โทคุชิมะ
เริ่มต้นด้วยจังหวัดแรกในภูมิภาคชิโกกุ เป็นที่ที่น่าสนใจ เพราะเต็มไปด้วยภูเขา ป่าไม้ มีแหล่งผลิตหลอดไฟ LED ปลูกสาหร่ายวากาเมะ และมะนาวซึดาจิมากที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวทำอีกมากมาย ดังนี้
1. แตะขอบฟ้าที่ Hachigo-kiri Unkai
เดินทางเข้าสู่สถานที่อันลึกลับที่สุดบนเกาะชิโกกุ Hachigo-kiri Unkai แปลว่า “ทะเลแห่งเมฆ” ที่นี่คุณจะเห็นทิวทัศน์งดงามเสมือนฝันในขณะที่สายหมอกยามเช้าตรู่จากแม่น้ำโยชินะล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า คุณจะชมทิวทัศน์อันสวยงามน่าทึ่งนี้ได้จาก Asahi Outlook ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกดั่งต้องมนตร์และหลงเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง เหมือนอยู่ในหนังสุดคลาสสิกเรื่อง Spirited Away จากสตูดิโอจิบลิ จนอดใจไม่ไหวที่จะถ่ายภาพเก็บไว้ชื่นชมหรือลง Social Media
เคล็ดลับจาก Klook: ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเดินทางไปเที่ยว Hachigo-kiri Unkai ที่สุดคือระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายน และตุลาคมถึงธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ปุยเมฆหนาที่สุดและสวยที่สุด
2. ข้ามหุบเขาอิยะโดยใช้ซิปไลน์
ต้องข้ามสะพานไหม ไม่จำเป็นเลย หากต้องการออกสำรวจหุบเขาอิยะ ซิปไลน์คือคำตอบ หากคุณต้องการสัมผัสความตื่นเต้น สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดบนชิโกกุคือการสวมอุปกรณ์ซิปไลน์แล้วเคลื่อนตัวผ่านธรรมชาติที่อยู่เบื้องล่าง คุณจะได้ลองเดินทางฝ่าด่านอุปสรรคต่างๆ ที่ Forest Adventure Iya Valley ใกล้กับสะพานเถาวัลย์คาซูระบาชิ โหนสลิงบนต้นไม้สูง ไปจนถึงการเล่นซิปไลน์ข้ามแม่น้ำและช่องเขา รับรองว่าทุกคนในครอบครัวจะสนุกแน่นอน
ต้องข้ามสะพานไหม ไม่จำเป็นเลย หากต้องการออกสำรวจหุบเขาอิยะ ซิปไลน์คือคำตอบ หากคุณต้องการสัมผัสความตื่นเต้น สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดบนชิโกกุคือการสวมอุปกรณ์ซิปไลน์แล้วเคลื่อนตัวผ่านธรรมชาติที่อยู่เบื้องล่าง คุณจะได้ลองเดินทางฝ่าด่านอุปสรรคต่างๆ ที่ Forest Adventure Iya Valley ใกล้กับสะพานเถาวัลย์คาซูระบาชิ โหนสลิงบนต้นไม้สูง ไปจนถึงการเล่นซิปไลน์ข้ามแม่น้ำและช่องเขา รับรองว่าทุกคนในครอบครัวจะสนุกแน่นอน
นอกจากนี้นักท่องเที่ยวจะยังได้พบกับคนท้องถิ่น รวมไปถึงการเปิดประสบการณ์เรียนรู้ประเพณีและวัฒนธรรมในชนบทแบบดั้งเดิม และได้ชื่นชมกับบ้านที่ถูกบูรณะแบบดั้งเดิมโดย Alex Kerr ผู้เขียน Lost Japan ผู้ที่หลงใหลในหุบเขาแห่งนี้ และอยากให้นักท่องเที่ยวประทับใจเมื่อมาเที่ยวที่นี่เช่นกัน
3. เดินป่าขึ้นภูเขาทสึรุงิ
ชิโกกุขึ้นชื่อเรื่องอะไร คำตอบคือเทือกเขาที่สวยงามจับใจอย่างภูเขาทสึรุงิ ภูเขาทสึรุงิสูง 1,955 ฟุตและเป็นภูเขาที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองในเขตญี่ปุ่นตะวันตก อีกทั้งยังเป็นภูเขาที่ได้รับการการันตีว่าปีนง่ายที่สุดด้วย การไต่ขึ้นยอดเขาไม่ได้ยากอย่างที่คิด คุณจะพิชิตยอดเขาได้ภายในเวลาประมาณไม่เกินครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเพราะที่นี่มีลิฟต์สำหรับนักปีนเขาให้บริการ ที่น่าสนใจคือเมื่อคุณขึ้นไปถึงบนเขา คุณจะมองเห็นมหาสมุทรแปซิฟิก ทะเลเซโตะ และแม้กระทั่งโอคาย่าที่นะงะโนะ นับว่าเป็นจุดชมวิวที่ดีเลยทีเดียว
เกร็ดน่ารู้: ภูเขาทสึรุงิเป็นหนึ่งใน “100 ภูเขาชื่อดัง” ที่สุดในญี่ปุ่น ดังนั้น อย่าพลาดโอกาสหายากในครั้งนี้ ต้องเดินทางมาสัมผัสความงดงามนี้ด้วยตาคุณเอง
4. เดินทางย้อนเวลาในย่านเมืองเก่าอุดะสึ
คนชอบประวัติศาสตร์อาจกำลังสงสัยอยู่ว่าควรทำอะไรดีเมื่อมาถึงชิโกกุ ข่าวดีคือ โทคุชิมะเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าสนใจมากมาย ย่านถนนอุดะทสึยังคงมีกลิ่นอายและเสน่ห์แบบโบราณ เพราะเป็นที่ตั้งของบ้านสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่ยุคเอโดะ (ค.ศ. 1603-1867) คุณสามารถเดินเล่นบนท้องถนนเพื่อชมบ้านที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยตราประจำตระกูล งานไม้ที่ละเอียด และรูปปีศาจบนหลังคาที่คอยปกปักรักษาบ้าน ระหว่างเดินเล่น คุณจะได้สัมผัสกับทิวทัศน์อันสวยงาม เรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคการย้อมครามที่ดีที่สุดของประเทศญี่ปุ่น รวมถึงดื่มด่ำกับศิลปะอายุหลายพันปี
เกร็ดน่ารู้: อุดะสึ หมายถึง ลักษณะของบ้านที่มีกำแพงป้องกันไฟ ซึ่งกำแพงแบบนี้จะมีการยกหลังคาให้สูงขึ้นอีกหนึ่งระดับเพื่อป้องกันการลุกลามของไฟ นับเป็นวิธีป้องกันไฟที่ชาญฉลาดมาก ๆ และผ่านการคิดมาเป็นอย่างดีของคนยุคก่อน
การเดินทาง: เดินจากสถานีรถไฟมิโนชิ (Minoshi Station) ประมาณ 10 นาที
คางาวะ
ไปต่อกันที่คางาวะ จังหวัดในภูมิภาคชิโกกุ แม้มีพื้นที่น้อยที่สุดในญี่ปุ่น แต่เป็นที่ที่มีเกาะท่องเที่ยวจำนวนมาก และเป็นที่ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งอุด้ง ซึ่งแน่นอนว่าของขึ้นชื่อของจังหวัดคางาวะคืออุด้ง พัด และมะกอก
5. รับประทานอาหารเช้าและดื่มชาในสวนริทสึริน
คนรักชาต้องชอบแน่นอน หากได้ดื่มชาท่ามกลางวิวดอกไม้อันสวยสะพรั่ง สีสันน่ารักในสวนริทสึริน ที่จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกำลังต้องมนตร์เสน่ห์ราวกับอยู่ในเทพนิยาย สวนริทสึรินเป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามเหนือกาลเวลาเนื่องจากพืชพรรณประมาณ 1,000 ต้นจะออกดอกตลอดทั้งปี
สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ คุณสามารถดื่มด่ำกับความงดงามและผ่อนคลายด้วยการจิบชาเขียวที่โรงน้ำชาดั้งเดิม Kikugetsutei (Kikugetsutei Traditional Tea House) ได้ด้วย อิ่มอร่อยกับเมนูพิเศษของญี่ปุ่น ซุปมิโซะร้อนๆ และโอชะ (ชา) แสนสดชื่นได้ในราคาเริ่มต้นเพียง 3,000 เยน และนี่ก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่น่าสนใจในเกาะชิโกกุที่คนรักชาไม่ควรพลาด
การเดินทาง: เดินทางจากสถานีทะคะมัทสึ แล้วลงที่สถานีริทสึรินโคเอ็นคิตะกุจิ
6. สัมผัสโลกใต้น้ำที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเกาะชิโกกุ
อีกหนึ่งที่เที่ยวที่ไปแล้วจะพบกับความตื่นตาตื่นใจ ดูสัตว์น้ำเพลิน ถ่ายรูปก็สวยคือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเกาะชิโกกุ เป็นอีกที่ที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับทะเลเซโตะ แน่นอนว่าเกาะแห่งนี้มีสัตว์ทะเลนานาชนิด และคุณก็จะได้เห็นเหล่าสัตว์น้ำหลายๆ ชนิดที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเกาะชิโกกุ มาทักทายเหล่าแมงกะพรุน เพนกวิน ฉลาม และฝูงปลาที่อยู่อาศัยบริเวณช่องแคบนารุโตะ
นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ยังมีนิทรรศการขนาดเล็กเกี่ยวกับตำนานของศาลเจ้าริวงูและโชว์โลมาสำหรับเด็กๆ อีกด้วย
ทัศนียภาพแห่งท้องทะเลของเกาะชิโกกุ คือ Concept หลักของที่เที่ยวแห่งนี้ ซึ่งที่นี่จะมี 2 ชั้น สร้างขึ้นจากใต้ดิน ซึ่งมี 4 โซนที่แนะนำให้ไปเที่ยวดูคือ ทิวทัศน์แห่งวาตาซึมิ (Watatsumi no Kei) ทิวทัศน์แห่งคันนาซึกิ (Kannazuki no Kei) ทิวทัศน์แห่งน้ำวน (Uzushio no Kei) และสระโลมา (Iruka Pool)
อีกโซนที่ใครมาเป็นต้องถ่ายภาพ คือโซนที่มีการจัดจำลองน้ำวนที่เกิดขึ้นจากกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ปะทะกับกระแสน้ำที่ไหลเอื่อยบริเวณช่องแคบนารูโตะ ซึ่งน่าสนใจมากจนกลายเป็นเสน่ห์อีกมุมนึงของที่นี่
เวลาทำการ : 9:00-18:00 น. (ช่วงโกลเดนวีคและฤดูร้อนเปิดถึง 21:00 น.)
การเดินทาง: ลงที่สถานีอุตาซึ แล้วเดินชิลล์ ๆ อีกประมาณ 12 นาที
7. ฝึกทำอูด้งจนชำนาญที่โรงเรียนสอนทำอูด้งนากาโนะ
หากคุณเป็นสายกิน คุณจะทำกิจกรรมหลายอย่างได้ที่เกาะชิโกกุ จังหวัดคางาวะไม่ได้มีดีแค่ธรรมชาติอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีอาหารรสเลิศ โดยเฉพาะอูด้ง โรงเรียนสอนทำอูด้งนากาโนะ จะสอนให้คุณม้วน นวด หั่น และทำเมนูพิเศษนี้อย่างยอดเยี่ยม แถมหลังจากนั้น คุณจะได้ลิ้มรสชาติผลงานของตนเอง รับรองว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าจดจำ
โรงเรียนแห่งนี้อยู่ใกล้กับศาลเจ้าโคโตฮิระกู หรือที่รู้จักกันในชื่อ คมปิระซัง เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวที่ห้ามพลาด เพราะบันไดหินทอดยาวเกือบ 800 ขั้น เพื่อขึ้นไปสู่ตัวศาลเจ้าหลัก และเกือบ 1,400 ขั้น เพื่อขึ้นไปสู่ศาลเจ้าชั้นในสุด
ระหว่างทางจะพบสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสารพัดร้านค้าให้เลือกช้อปหรือชิมเมนูท้องถิ่น รวมถึงออนเซ็นและเรียวกัง ที่ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
การเดินทาง: โดยสารรถไฟสาย JR Dosan Line หรือสาย JR Yosan Line แล้วลงที่สถานีรถไฟ JR Kotohira เดินต่อประมาณ 10 นาที
8. เที่ยวเกาะ “ศิลปะ” นาโอชิมะในหนึ่งวัน
อยากเที่ยวเกาะที่เต็มไปด้วยงานศิลปะสมัยใหม่ และถ่ายรูปเท่ ๆ ใช่ไหม ชิโกกุมีแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกาะนาโอชิมะ เกาะศิลปะขนาดเล็กแห่งนี้มีผลงานศิลปะที่น่าทึ่งจากศิลปินชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงระดับโลกและศิลปินหน้าใหม่มาแรง
เมื่อมาถึงท่าเรือมิยาโนระแล้ว คุณจะได้พบกับผลงาน Red Pumpkin ของ Yayoi Kusama ซึ่งเป็นจุดถ่ายรูปบนเกาะ ที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์ Ando ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมที่ Tadao Ando เป็นผู้ออกแบบเอง รวมถึง I Love Yu โรงอาบน้ำแปลกใหม่ที่ทำจากโมเสคและมีรูปปั้นช้างตัวใหญ่ด้านหน้า
โดยปกตินิทรรศการศิลปะจะมีการจัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี ซึ่งปี 2022 จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (14 เม.ย. – 18 พ.ค), ฤดูร้อน (5 ส.ค. – 4 ก.ย.) และในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (29 ก.ย. – 6 พ.ย.)
โคชิ
จังหวัดนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของเกาะ เป็นที่เที่ยวที่อุดมไปด้วยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นทะเล ภูเขา แม่น้ำ สถานที่อันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง ทั้งยังมีอาหารรสเลิศอีกด้วย เรียกว่ามาที่นี่คือครบ จบเลยทีเดียว
9. ล่องแม่น้ำชิมันโตะบนเรือยากาตะบุเนะ (เรือมีหลังคาแบบดั้งเดิม)
กิจกรรมสุดปังลำดับสุดท้ายที่ควรทำบนเกาะชิโกกุคือการเที่ยว “ลำธารใสสายสุดท้ายของญี่ปุ่น” หรือแม่น้ำชิมันโตะ นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณจะได้สัมผัสกับความงดงามตามธรรมชาติของแม่น้ำที่มีน้ำใสไหลเอื่อย ๆ ให้รางวัลตัวเองด้วยการล่องเรือยากาตะบุเนะ (เรือมีหลังคาของญี่ปุ่น) เพื่อดื่มด่ำกับทิวทัศน์ของหุบเขาลึกที่ปกคลุมด้วยป่าไม้ เนินเขา และพื้นที่การเกษตรทอดยาวสุดลูกหูลูกตาที่ยังคงสภาพเดิมตลอดหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากดื่มด่ำบรรยากาศที่สวยงามแล้ว ต้องไปลองเมนูอาหารท้องถิ่นที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ปรุงด้วยปลาไหลหรือปลาอายุสด ๆ จากแม่น้ำ
เกาะชิโกกุคุ้มค่าแก่การไปเยือนหรือไม่
หากคุณรักธรรมชาติ รักสัตว์ ชอบวัฒนธรรม เป็นสายกิน หรือเพียงอยากจะหาที่เที่ยวแบบนอกกระแส รับรองว่าคุณจะต้องสนุกกับการมาเที่ยวเกาะชิโกกุแน่นอน
ที่สำคัญ การมีบัตร All Shikoku Rail Pass ติดตัวก่อนท่องเที่ยวก็จะช่วยให้คุณสำรวจเกาะได้อย่างสะดวกสบาย