สำรวจทั่วประเทศญี่ปุ่นด้วยรถไฟ
ด้วยราคาตั๋วเครื่องบินที่ถูกลงเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน การไปเที่ยวญี่ปุ่น จึงกลายเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่ในทางกลับกัน ค่าเดินทางในประเทศญี่ปุ่น กลับมีราคาที่ค่อนข้างสูงและอาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เราไม่อยากเดินทางไปยังหลาย ๆ เมืองได้!
โดยในวันนี้ เราจะมาไขทุกข้อสงสัยที่คุณมีเกี่ยวกับการใช้ตั๋ว JR Pass ที่ดูเหมือนจะยุ่งยากนี้ เพื่อให้การเดินทางในประเทศญี่ปุ่นเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด และหากคุณไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มตรงไหนดี คุณมาถูกที่แล้ว!
🚨Important Klook tip 🚨: แรงมาก Whole JR Pass กำลังจะขึ้นราคา ตุลาคมนี้! รีบจองก่อนราคาขึ้น คุณสามารถซื้อ Whole JR Pass ในราคาเดิมได้ ภายใน 30 กันยายนนี้เท่านั้น โดยเฉพาะใครที่กำลังมีแพลนจะไปญี่ปุ่นภายใน 28 ธันวาคมนี้ ต้องรีบเลยนะ
1. JR Pass คืออะไร?
JR Pass คือบัตรโดยสารสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางในประเทศญี่ปุ่น ที่ออกแบบมาเพื่อชาวต่างชาติโดยเฉพาะ! บัตรใบนี้จะทำให้คุณสามารถออกเดินทางด้วยรถไฟทั้งหมดของบริษัท Japan Railways ได้ตลอด 24 ชั่วโมง อันได้แก่ JR Kyushu, JR Shikoku, JR West, JR Center, JR East และ JR Hokkaido นอกจากนี้ คุณยังสามารถออกเดินทางด้วยระบบขนส่งอื่น ๆ เช่น JR Bus, JR Ferry และรถไฟรางเดี่ยว monorail ได้อีกด้วย
ตารางด้านล่างนี้ คือบริการการเดินทางที่คุณสามารถใช้บริการได้อย่างไม่จำกัดด้วยบัตร JR Pass นี้
เกร็ดน่ารู้: บัตร JR Pass เป็นบัตรสำหรับ “นักท่องเที่ยวชั่วคราว” ที่เดินทางท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นไม่เกิน 3 เดือนเท่านั้น ชาวญี่ปุ่น รวมถึงผู้ที่ทำงานในประเทศญี่ปุ่นจะไม่สามารถใช้บัตรนี้ได้
2. JR Pass มีกี่ประเภท?
บัตร JR Pass มีอยู่หลากหลายประเภทให้คุณสามารถเลือกได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นบัตรสำหรับเดินทางทั่วประเทศญี่ปุ่น หรือบัตรสำหรับเดินทางเฉพาะในภูมิภาคหรือในเมือง โดยบัตรแต่ละประเภท ก็จะมีระยะเวลาการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปอีก ตั้งแต่ 1 วัน ไปจนถึง 21 วัน! เรามาดูกันดีกว่าว่า บัตร JR Pass ทั้งหมดที่มีจำหน่าย มีอะไรบ้าง!
- ชิโคคุ (Shikoku)
- ฮอกไกโด (Hokkaido)
- ญี่ปุ่นตอนกลาง (Central Japan)
- คันไซ (Kansai)
- ญี่ปุ่นฝั่งตะวันตก (West Japan)
- ญี่ปุ่นฝั่งตะวันออก (East Japan)
- คิวชู (Kyushu)
ด้วยประเภทของบัตรที่มีให้เลือกมากมาย เราขอแนะนำให้คุณวางแผนการเดินทางของคุณให้ดี ไม่ว่าจะเป็นภูมิภาคที่ต้องการเดินทางไป หรือระยะเวลาในการเดินทางท่องเที่ยวของคุณ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มค่าจากบัตรที่คุณซื้อมากที่สุดนั่นเอง
3. JR Pass ซื้อได้ที่ไหน?
คุณสามารถซื้อบัตร JR Pass ได้ที่สนามบินต่าง ๆ หรือที่สำนักงานจำหน่ายบัตร JR Pass ของประเทศญี่ปุ่น แต่ข้อเสียของการซื้อกับทางญี่ปุ่นโดยตรงแบบนี้ คือคุณจะต้องจ่ายแพงมากกว่า ดังนั้น เราจึงอยากแนะนำให้คุณทำการซื้อบัตร JR Pass ของคุณผ่านตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการรับรองจาก JR Pass อย่าง Klook เพราะนอกจากจะประหยัดเงินแล้ว คุณยังไม่ต้องมานั่งเสียเวลากับขั้นตอนที่ยุ่งยากอีกด้วย!
ขั้นตอนการซื้อบัตร JR Pass ผ่าน Klook
4. Klook เวาเชอร์, Exchange Order และบัตร JR Pass แตกต่างกันอย่างไร?
5. Exchange Order และ JR Pass มีอายุการใช้งานเท่าไร?
คุณจะต้องนำ Exchange Order ไปแลกรับบัตร JR Pass ที่สำนักงานบัตร JR Ticket Office ในประเทศญี่ปุ่น ภายในระยะเวลา 90 วันนับตั้งแต่วันออกบัตร (Date of Issue) ที่ระบุไว้บน Exchange Order ของคุณ
เมื่อคุณนำ Exchange Order ไปแลกรับบัตร JR Pass คุณจะสามารถเลือกวันเปิดใช้งานบัตรเพื่อออกเดินทางเป็นวันแรกเมื่อใดก็ได้ ภายในระยะเวลา 30 วัน และไม่จำเป็นต้องออกเดินทางในวันที่คุณไปแลกรับบัตร โดยเมื่อคุณได้รับบัตร JR Pass มาแล้ว คุณสามารถออกเดินทางได้อย่างไม่จำกัดตามระยะเวลาการใช้งานของบัตรที่คุณเลือก
เกร็ดน่ารู้: หากคุณเลือกวันออกเดินทางไปแล้ว คุณจะไม่สามารถเปลี่ยนวันเดินทางได้อีก
6. รถไฟชั้นพิเศษและรถไฟชั้นธรรมดาแตกต่างกันอย่างไร?
รถไฟชั้นพิเศษ (Green Car) เป็นขบวนรถไฟที่พบได้ทั่วไปในรถไฟชินคันเซ็นหรือรถไฟด่วนพิเศษ Tokkyu ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับที่นั่ง First Class บนเครื่องบิน ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างครบครัน และแน่นอนว่ามีราคาค่อนข้างสูง!
ช่วงฤดูท่องเที่ยว รถไฟชั้นพิเศษนี้จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยว เนื่องจากมีบริการสำรองที่นั่งล่วงหน้า ซึ่งการันว่าคุณจะมีที่นั่งอย่างแน่นอน โดยคุณจะต้องทำการสำรองที่นั่งล่วงหน้าก่อนการออกเดินทางทุกครั้ง!
ด้วยมาตรฐานของรถไฟของ JR การเดินทางด้วยรถไฟชั้นธรรมดา ก็เพียงพอที่จะทำให้คุณเพลิดเพลินและมีความสุขไปกับการเดินทางได้แล้ว แต่หากคุณต้องการสำรองที่นั่งล่วงหน้าและสัมผัสความสบายที่มากกว่า (โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซั่น) การนั่งรถไฟชั้นพิเศษ ก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเลยทีเดียว!
7. บัตรแบบระบุที่นั่งและแบบไม่ระบุที่นั่งแตกต่างกันอย่างไร?
รถไฟ JR บางขบวนจะมีบริการสำรองที่นั่งล่วงหน้าให้คุณได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่ในบางครั้งคุณอาจต้องซื้อบัตร Express Ticket เพิ่มเพื่อทำการสำรองที่นั่ง โดยสำหรับรถไฟที่ไม่ต้องใช้บัตร Express Ticket คุณสามารถสำรองที่นั่งได้ในขั้นตอนการแลกรับบัตร JR Pass ของคุณได้เลย!
ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการสำรองที่นั่งบนรถไฟ Kansai-Airport Express Haruka หรือขบวนรถด่วนพิเศษอื่น ๆ ที่ใช้บัตร West Kansai Rail Pass คุณจำเป็นต้องซื้อบัตร Express Ticket เพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม สำหรับขบวนรถไฟ Special Rapid Services, Rapid Services และรถไฟท้องถิ่นบนเส้นทาง JR-West Conventional คุณสามารถเลือกสำรองที่นั่ง ขณะรับแลกบัตร JR Pass ได้เลย
แม้จะไม่ได้มีการบังคับ แต่การสำรองที่นั่งก็จะทำให้คุณรู้สึกสบายใจว่าคุณจะมีที่นั่งบนขบวนรถแน่ ๆ ไม่ว่าคนจะเยอะหรือรถจะเต็ม โดยเฉพาะหากคุณเดินทางกันมาเป็นกลุ่ม การสำรองที่นั่งนี้จะช่วยการันตีให้คุณได้นั่งด้วยกันทั้งหมดได้!
8. JR Pass มีวิธีการนับระยะเวลาการใช้งานอย่างไร?
ระยะเวลาการใช้งานของบัตร JR Pass จะนับตามวันในปฏิทิน ไม่ใช่ระบบแบบ 24 ชั่วโมง ตังอย่างเช่น หากคุณเริ่มใช้งานบัตรแบบ 7 วันในเวลา 15:00 น. ของวันที่ 1 ตุลาคม 2018 บัตรของคุณจะหมดอายุในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 7 ตุลาคม 2018 (วันที่ 7) ไม่ใช่ในเวลา 15:00 น. ของวันที่ 8 ตุลาคม 2018 (วันที่ 8)
โดยในกรณีที่คุณขึ้นรถไฟก่อนเวลาเที่ยงคืนในวันสุดท้าย และคุณยังอยู่บนรถไฟเมื่อเลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว คุณยังสามารถใช้บริการรถไฟนี้ได้จนกว่าการเดินทางของคุณจะสิ้นสุดลง แต่หากคุณจำเป็นต้องเปลี่ยนขบวนไปยังรถไฟชินคันเซ็น, รถไฟด่วนพิเศษ หรือรถไฟด่วนหลังจากเวลาเที่ยงคืนแล้ว คุณจะต้องซื้อบัตรโดยสารใหม่เพิ่มเติมเอาเอง
9. JR Pass ใช้งานอย่างไร?
บัตร JR Pass คือบัตรเพียงใบเดียวเท่านั้นที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเดินทาง ยกเว้นแต่ว่าคุณได้ทำการสำรองที่นั่ง โดยในกรณีนี้ คุณจะต้องมีทั้งบัตร JR Pass และบัตรที่ใช้ในการสำรองที่นั่ง
ผู้ที่ถือบัตร JR Pass จะไม่ต้องไปยังประตูอัตโนมัติ แต่จะต้องไปยังประตูที่มีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่เพื่อแสดงบัตร JR Pass ของคุณให้แก่เจ้าหน้าที่ โดยในบางครั้ง คุณอาจจะต้องแสดงหนังสือเดินทางของคุณ พร้อมกับบัตร JR Pass ด้วย
10. JR Pass ต้องจองล่วงหน้านานแค่ไหน?
เราขอแนะนำให้คุณทำการจองบัตร JR Pass ผ่าน Klook ล่วงหน้าประมาณ 2 เดือนก่อนวันเดินทางไปญี่ปุ่นของคุณ โดยถึงแม้ว่าคุณจะทำการจองล่วงหน้า 2 เดือน คุณก็ยังมีเวลาเหลือเฟือก่อนที่บัตร Exchange Order ของคุณจะหมดอายุ (90 วันหลังจากวันออกบัตร)
โปรดทราบว่า คุณไม่สามารถซื้อบัตร JR Pass ล่วงหน้าได้เกิน 3 เดือนก่อนวันเดินทางของคุณ เนื่องจาก Exchange Order ของคุณจะหมดอายุก่อนเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การซื้อบัตร JR Pass ใกล้กับวันเดินทางไปญี่ปุ่นของคุณจนเกินไป อาจส่งผลให้คุณไม่สามารถรับ Exchange Order ของคุณทันเวลาได้
11. JR Pass ใช้เดินทางจากสนามบินได้หรือไม่?
ได้แน่นอน คุณสามารถนั่งรถไฟ JR จากสนามบินส่วนใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นไปยังเมืองหลัก ๆ ใกล้สนามบินได้มากมาย แต่ทันทีที่คุณมาถึงสนามบิน คุณจะต้องนำ Exchange Order ของคุณไปแลกรับบัตร JR Pass และเปิดใช้งานก่อนเป็นอันดับแรก โดยคุณสามารถบัตร JR Pass ของคุณในการเดินทางโดบรถไฟโมโนเรล ซึ่งเชื่อมระหว่างสนามบินฮาเนดะและสถานี Hamamatsucho ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้บัตร JR Pass เพื่อออกเดินทางโดบรถไฟ Narita Express (N’EX) ซึ่งเชื่อมระหว่างสนามบินนาริตะและสถานี Tokyo, สถานี Shinagawa, สถานี Shinjuku และ สถานี Ikebukuro ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม คุณไม่สามารถใช้บัตร JR Pass บนรถไฟ Keisei Skyliner ซึ่งเชื่อมระหว่างสนามบินนาริตะและโตเกียวได้
12. JR Pass ยกเลิกได้ไหม?
เมื่อคุณจองบัตร JR Pass ผ่าน Klook เรียบร้อยแล้ว คุณจะได้รับ Exchange Order ของคุณผ่านทางไปรษณีย์โดยตรง โดยคุณสามารถยกเลิกและขอคืนเงินสำหรับ Exchange Order ที่ยังไม่ถูกแลกใช้ได้ภายใน 11 เดือนนับจากวันออกบัตรที่ระบุไว้ และจะการเรียกเก็บมีค่าธรรมเนียมในการยกเลิกเป็นจำนวน 10% ของราคาบัตร JR Pass ของคุณ
โปรดทราบว่า Klook จะไม่สามารถทำการยกเลิกหรือทำเรื่องคินเงินให้กับคุณได้ หาก Exchange Order ของคุณสูญหาย, เสียหาย หรือถูกขโมย หรือหากสาเหตุในการยกเลิกของคุณเกิดจากการเปลี่ยนแปลงตารางการเดินรถหรือการงดการให้บริการของรถไฟในประเทศญี่ปุ่น และจะไม่มีการชดเชยค่าที่พัก, ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง หรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ของคุณซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทั้งสิ้น
13. JR Pass คุ้มหรือไม่?
คุ้มยิ่งกว่าคุ้มแน่นอน! ด้วยระบบรถไฟที่ซับซ้อนของประเทศญี่ปุ่น บัตร JR Pass คือบัตรที่คุณต้องมี! เว้นเสียว่า คุณต้องการจะซื้อบัตรโดยสารใหม่ทุกครั้งที่ออกเดินทาง ซึ่งเปลืองทั้งเงินและก็เวลา
อีกเหตุผลสำคัญที่คุณต้องมีบัตร JR Pass ก็คือรถไฟชินคันเซ็น เพราะแค่ค่าบัตรโดยสารรถไฟชินคันเซ็นกับการเดินทางโดยรถไฟท้องถิ่นอีกเที่ยวสองเที่ยว ก็มีมูลค่าเท่ากับบัตร JR Pass หนึ่งใบแล้ว จะต่างกันก็ตรงที่ บัตร JR Pass จะทำให้คุณสามารถเดินทางได้อย่างไม่จำกัดภายในระยะเวลาการใช้งานบัตรที่คุณเลือก ยิ่งเป็นการเดินทางระยะไกล ๆ แล้วละก็ เชื่อเถอะว่า ไม่มีอะไรจะคุ้มไปกว่าการซื้อบัตร JR Pass อีกแล้ว!
หากคุณยังมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตร JR Pass ลองแวะไปอ่านคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับบัตร JR Pass จาก Klook ได้เลย
มาเริ่มการการผจญภัยในญี่ปุ่นกันเถอะ!
หลังจากที่คุณรู้จักวิธีการใช้บัตร JR Pass กันแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการวางแผนการเดินทางของคุณในประเทศญี่ปุ่น และซื้อบัตร JR Pass ที่ตอบโจทย์คุณมากที่สุดจาก Klook! และเพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการเดินทาง อย่าลืมจองอุปกรณ์ Pocket WiFi ติดไม้ติดมือไปด้วย เพื่อที่คุณจะได้เชื่อมต่อโลกออนไลน์ในประเทศญี่ปุ่นได้ทุกที่ทุกเวลา!
ดีลและกิจกรรมแนะนำในโตเกียว
ดีลและกิจกรรมแนะนำในโอซาก้า
ไม่พลาดทุกโปรเด็ด ติดตามคลูกได้ทุกช่องทาง
Facebook | @klookth 👉🏼 bit.ly/klookthfb
Instagram | @klooktravel_th 👉🏼 bit.ly/kookthig
Twitter | @klookth 👉🏼 bit.ly/klooktwitter
TikTok | @klookth 👉🏼 bit.ly/klookthtt
Youtube | @klookth 👉🏼 bit.ly/klookthyt
👤สอบถามรายละเอียดก่อนจอง
Line Official Account | @klookth 👉🏼 bit.ly/klookthoa
💬 ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าหลังการขาย
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่รักการท่องเที่ยว จองกับ Klook จอยแน่นอน
พิเศษ! รับส่วนลด 5% สำหรับการจองผ่านแอปฯ ครั้งแรก
ใช้โค้ด 👉 <BETTERONAPP>
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
ดาวน์โหลด Klook แล้วจองเลย IOS | Android